“รีไฟแนนซ์บ้าน” หรือย้ายสถาบันการเงินที่ขอสินเชื่อ เพื่อให้ภาระ ดอกเบี้ยลดลง เนื่องจากในช่วงแรกของการรีไฟแนนซ์ ธนาคารมักมีโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยถูก อย่างไรก็ตาม การรีไฟแนนซ์ ก็มี 3 ข้อที่ผู้กู้บ้านต้องพิจารณาให้รอบคอบเสียก่อน ซึ่งรายละเอียด,ufy'ouh
1. ข้อแรก อัตราดอกเบี้ยใหม่เป็นอย่างไร การรีไฟแนนซ์ มีข้อดีที่สำคัญคือ “อัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง” โดยทั่วไปคนเรามักมองหาสถาบันการเงินแห่งใหม่เพื่อทำการรีไฟแนนซ์เมื่อผ่อนบ้านไปแล้วประมาณ 3 ปี ดังนั้น หากมียอดหนี้ คงเหลือ 1 ล้านบาท ปัจจุบันเสียอัตราดอกเบี้ยที่ 7.12% ต่อปี ขณะที่สถาบันการเงินแห่งใหม่เสนออัตราดอกเบี้ยช่วง 3 ปีแรก เท่ากับ 3.45% ต่อปี คิดเป็นส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 3.67% ต่อปี หากยอดผ่อนเท่าเดิม เดือนละ 6,100 บาท จะสามารถประหยัดดอกเบี้ยในช่วง 3 ปี ได้ถึง 115,469 บาท (คิดแบบลดต้นลดดอก) 2. ข้อที่สอง ค่าใช้จ่ายจากการรีไฟแนนซ์เป็นเท่าไร เมื่อรีไฟแนนซ์ จะมีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น โดยสามารถแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้ - ค่าใช้จ่ายให้กับกรมที่ดิน ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% และค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ - ค่าใช้จ่ายให้กับสถาบันการเงินใหม่ ได้แก่ ค่าประเมินมูลค่าหลักประกัน ประมาณ 3,000 บาท และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย หากกรมธรรม์เดิมยังมีความคุ้มครอง ผู้กู้สามารถแจ้งโอนผลประโยชน์ จากสถาบันการเงินเดิม เพื่อยกผลประโยชน์ให้สถาบันการเงินแห่งใหม่ได้ นอกจากนี้ การรีไฟแนนซ์ในช่วง 3 ปีแรกของการผ่อนบ้าน มักมีค่าปรับเกิดขึ้นประมาณ 2-3% ของยอดหนี้ สมมติยอดหนี้ 1 ล้านบาท จะมีค่าปรับประมาณ 20,000-30,000 บาท ดังนั้น ก่อนรีไฟแนนซ์ ควรตรวจสอบหรืออ่านสัญญาให้ดีว่า สามารถรีไฟแนนซ์ได้เมื่อไรเพื่อไม่มีค่าปรับตามมา 3. ข้อสุดท้าย ยอดหนี้และระยะเวลาผ่อนเหลือมากหรือไม่ เมื่อผ่อนบ้านไปเรื่อยๆ จนทำให้ยอดหนี้คงเหลือไม่มากนัก หรือระยะเวลาผ่อนชำระเหลือไม่กี่ปี ซึ่งในอนาคตอาจมีเงินก้อน เช่น เงินโบนัส มาปิดหนี้ก่อนกำหนด ก็ไม่จำเป็นต้องรีไฟแนนซ์
ขอบคุณภาพและที่มา khomesmilesclub.askkbank.com